วันที่ 22 กันยายน 2566 นายสไกร พิมพ์บึง เลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีประกาศกำหนดวันเลือกตั้ง วันรับสมัครรับเลือกตั้ง สถานที่สมัครรับเลือกตั้ง โดยกำหนดให้วันที่ 18 – 22 กันยายน 2566 ตั้งแต่เวลา 08.30 น. – 16.30 น. เป็นวันรับสมัครเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกร พ.ศ. 2566 และเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน 2566 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. – 15.00 น. สำหรับสถานที่รับสมัครกำหนดให้ภาคเหนือ ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ภาคกลาง ที่สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (สำนักงานใหญ่) กรุงเทพมหานคร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ศาลากลางจังหวัดขอนแก่น และภาคใต้ ที่ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่ง กฟก.ได้ประชาสัมพันธ์การรับสมัครผ่านช่องทางสื่อต่าง ๆ ทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ สื่อโซเชียล หน่วยงานภาคีความร่วมมือ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ช่วยกระจายข่าวให้ผู้ที่สนใจได้รับทราบและสมัครเพื่อเป็นผู้แทนเกษตรกรของ กฟก. โดยได้มีการติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด ให้แต่ละศูนย์รายงานผลเป็นรายวัน ทั้งยังได้ลงพื้นที่เยี่ยมศูนย์รับสมัครทั้ง 4 ภูมิภาค เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและพบปะกับผู้สมัครในแต่ละภูมิภาคด้วย

สรุปข้อมูลผู้มาสมัครผู้แทนเกษตรกร พ.ศ. 2566 ณ วันที่ 22 กันยายน 2566 ภาคเหนือ มีผู้สมัครจำนวน 28 คน ภาคกลาง มีผู้สมัคร จำนวน 19 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีผู้สมัคร จำนวน 57 คน และภาคใต้ มีผู้สมัคร จำนวน 23 คน รวมทั้งสิ้น 127 คน โดยในภาพรวมวันที่ 18 กันยายน ซึ่งเป็นวันแรกของการเปิดรับสมัครนั้น มีจำนวนผู้มาสมัครสูงสุดกว่าในทุกวัน ส่วนวันถัดไปก็ยังมีทยอยกันมาสมัครอย่างต่อเนื่อง

ในปีนี้บรรยากาศการรับสมัครเป็นไปด้วยความคึกคัก ทุกภูมิภาคมีจำนวนผู้สมัครเพิ่มขึ้นกว่าทุกครั้ง และมีผู้สมัครหน้าใหม่ทั้งที่เป็นคนรุ่นใหม่ ผู้นำองค์กร นักเคลื่อนไหวภาคเกษตรให้ความสนใจร่วมสมัครมากขึ้นด้วย แสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมาเกษตรกรได้ประจักษ์ถึงผลงานในเชิงรูปธรรมที่จับต้องได้ ทั้งการแก้ไขปัญหาหนี้ การฟื้นฟูอาชีพ และการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างสำนักงานกับเกษตรกรที่แน่นแฟ้นมากขึ้น นับว่าเป็นมิติใหม่ของ กฟก. อย่างแท้จริง หลังจากนี้จะเป็นขั้นตอนการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัคร โดยในทุกขั้นตอนสำนักงานได้กำชับผู้ปฏิบัติงานให้กระทำด้วยความรอบคอบ ถูกต้อง และโปร่งใส ที่สำคัญได้เน้นย้ำให้ทุกคนวางตัวเป็นกลางในการทำงาน เพื่อให้การเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกรในครั้งนี้มีความบริสุทธิ์ ยุติธรรม เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับหน่วยงานด้วย

วันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2566 ที่ศาลากลางจังหวัดขอนแก่น นายสไกร พิมพ์บึง เลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) พร้อมคณะผู้บริหารได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมศูนย์รับสมัครรับเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกร ภูมิภาคที่ 3 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อรับฟังรายงานการรับสมัครรับเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีนายประยงค์ อัตจักร  ผู้อำนวยการสำนักกิจการสาขาภูมิภาคที่ 3 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในฐานะประธานคณะกรรมการรับสมัครรับเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกร พร้อมด้วยหัวหน้าสำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เป็นกรรมการ จำนวน 8 คน ร่วมให้การต้อนรับและรับฟังรายงานการดำเนินงานของศูนย์รับสมัครรับเลือกตั้งฯ วันนี้เป็นวันที่ 5 วันสุดท้ายของการรับสมัคร โดยมีเกษตรกรสมาชิกที่สนใจมาสมัครเบื้องต้น 55 คน รวมจำนวนผู้สมัครทั้ง 4 ภาค (ไม่เป็นทางการ) จำนวน 118 ราย ซึ่งมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

สำหรับประเด็นที่ได้หารือกันวันนี้  เลขาธิการกองทุนฯ ได้ย้ำถึงการวางตัวเป็นกลางของพนักงานที่ต้องยึดปฎิบัติตามระเบียบ นอกจากนี้ยังได้แจ้งแนวทางการประชุมของคณะอนุกรรมการติดตามและตรวจเยี่ยมการเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกร ทั้ง 4 ภาค  การจัดทำแผนประชาสัมพันธ์การเลือกตั้ง ซึ่งได้จัดงบประมาณให้ทุกสาขาจังหวัด ตั้งแต่ 60,000 195,000 บาท ตามจำนวนสมาชิกองค์กร นอกจากนี้ยังมีเรื่องแนวทางปฏิบัติการขอสำเนารายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง แนวทางการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งตามกฎกระทรวง ข้อ 15 

เลขาธิการฯ สไกร ได้กล่าวตอนท้ายว่า จากข้อมูลผู้มาสมัครรับเลือกตั้งทั้ง 4 ภาค มีจำนวนมากกว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะภาคอีสานที่มาสมัครมากถึง 55 คน ซึ่งขณะนี้ยังไม่เป็นทางการ เมื่อเทียบกับคราวที่แล้วมาสมัคร 39 คน รวมทุกภาคมีมากกว่า 120 คน จะเห็นได้ว่าเกษตรกรให้ความสนใจและเห็นความสำคัญของกองทุนฟื้นฟูฯ จึงขอฝากให้สาขาจังหวัดลงพื้นที่พบปะองค์กรเกษตรกรและเข้าถึงเกษตรกรให้ได้มากที่สุด เพื่อสร้างความเข้าใจกับเกษตรกรออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งให้ได้มากที่สุดกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

วันพฤหัสบดีที่ 21 กันยายน 66 ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ นายสไกร พิมพ์บึง เลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) พร้อมคณะผู้บริหารได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมศูนย์รับสมัครรับเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกร ภูมิภาคที่ 1 ภาคเหนือ เพื่อรับฟังรายงานการรับสมัครเลือกตั้ง รวมถึงการเตรียมการรณรงค์ประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรสมาชิกกองทุนฯ ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารการเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกรและออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งให้มากที่สุดกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา โดยมีนายรัตนกุล โพธิ ผู้อำนวยการสำนักกิจการสาขาภูมิภาคที่ 1 ภาคเหนือ ในฐานะประธานคณะกรรมการรับสมัครรับเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกร พร้อมด้วยหัวหน้าสำนักงานสาขาภาคเหนือที่เป็นกรรมการ จำนวน 7 คน ร่วมให้การต้อนรับและรับฟังรายงานการดำเนินวานของศูนย์รับสมัครรับเลือกตั้งฯ ซึ่งวันนี้เป็นวันที่ 4 ของการรับสมัคร โดยมีผู้มาสมัครรับเลือกตั้งแล้วจำนวน 25 คน

สำหรับประเด็นสำคัญที่ได้มีการหารือกันวันนี้ ได้แก่  แนวทางการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการติดตามและตรวจเยี่ยมการเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกร การประชาสัมพันธ์การเลือกตั้ง ซึ่งได้จัดงบประมาณให้ทุกสาขาจังหวัด ตั้งแต่ 60,000 – 195,000 บาท ตามจำนวนสมาชิกองค์กร นอกจากนี้ยังมีเรื่องแนวทางปฏิบัติการขอสำเนารายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง แนวทางการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งศูนย์รับสมัครรับเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกรภาคเหนือ ได้รับทราบและเข้าใจในประเด็นดังกล่าว โดยมีเรื่องหารือเพิ่มเติมคือ การสมัครเป็นสมาชิกองค์กรในวันที่มาสมัครรับเลือกตั้งจะได้รับสิทธิ์หรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องสร้างความเข้าใจร่วมกันว่า คกก.กองทุนฯ เห็นชอบรายชื่อสมาชิก เพื่อทำบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งแล้ว ณ วันที่ 14 ส.ค. 66 เบื้องต้นจึงถือวันดังกล่าวเป็นวันรับขึ้นทะเบียนองค์กรทีมีสิทธิ์รับสมัครเลือกตั้ง ส่วนที่มาขึ้นทะเบียนภายหลัง จะแจ้งแนวปฎิบัติให้ทราบอีกครั้ง

ภายหลังการรับฟังรายงานจากประธานศูนย์รับสมัครฯ เลขาธิการกองทุนฯ ได้กล่าวกับ คกก.และพนักงานว่า การเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกรครั้งนี้ จะเป็นตัวชี้วัดครั้งสำคัญว่า เกษตรกรยังรักกองทุนฯ อยู่หรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมากองทุนฯ ได้จัดการหนี้สินให้เกษตรกรกว่า 1 หมื่นล้านบาท และสนับสนุนการฟื้นฟูอาชีพให้เกษตรกรหลายพันล้านบาทซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นตัวพิสูจน์ว่ากองทุนฯ จะเดินไปในทิศทางไหนอย่างไร จึงขอฝากให้สาขาจังหวัดลงพื้นที่พบปะองค์กรเกษตรกรและเข้าถึงเกษตรกรให้ได้มากที่สุด เพื่อปลุกพลังเงียบของเกษตรกรออกมาใช้สิทธิเลือกให้ได้มากที่สุดกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

วันพุธที่ 20 กันยายน 66 ที่ห้องประชุมวัฒนธรรมจังหวัด ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช นายสไกร พิมพ์บึง เลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) ได้ลงพื้นที่ติดตามตรวจเยี่ยมศูนย์รับสมัครรับเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกร ภูมิภาคที่ 4 ภาคใต้ เพื่อรับฟังสรุปการรับสมัครผู้แทนเกษตรกรเขตภาคใต้ โดยมีนายสุกิจ  ลุ้งใหญ่ ผู้อำนวยกิจสำนักกิจการสาขาภูมิภาคที่ 4 ภาคใต้ พร้อมด้วยหัวหน้าสำนักงานสาขาภาคใต้ 9 จังหวัด ที่เป็นคณะกรรมการรับสมัครรับเลือกตั้ง เข้าร่วมประชุมหารือในครั้งนี้ด้วย

เลขาธิการ กฟก. กล่าวว่า การลงพื้นที่ภาคใต้ วันนี้ ถือเป็นแห่งแรกที่ลงมารับฟังสรุปการรับสมัครเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกรของภาคใต้ ซึ่งเปิดรับสมัครมาแล้ว 3 วัน มีผู้สมัครจำนวน 16 ท่าน ถือว่าได้รับความสนใจจากพี่น้องเกษตรกรสมาชิก เขตภาคใต้เป็นอย่างมาก สะท้อนให้เห็นว่า กฟก. มีผลงาน  ทำงานใกล้ชิดกับพี่น้องเกษตรกร สามารถแก้ไขปัญหาหนี้ รักษาที่ดินทำกินให้เกษตรกรได้อย่างกว้างขวาง รวมถึงการสนับสนับสนุนการฟื้นฟูอาชีพเกษตรกรรมให้พี่น้องได้จำนวนมาก

สำหรับการประชุมหารือในวันนี้ได้ทำความเข้าใจกับสาขาจังหวัดภาคใต้ ในประเด็นต่างๆ เช่น การเตรียมความพร้อมการลงติดตามตรวจเยี่ยมการเลือกตั้ง การประชาสัมพันธ์การเลือกตั้ง การตรวจคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้ง การขอถ่ายสำเนารายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้ง รวมถึงการวางตัวเป็นกลางพนักงาน ลูกจ้าง และอนุกรรมการฯ จังหวัด เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ถูกร้องเรียนหรือฟ้องดำเนินคดี จึงขอให้ผู้เกี่ยวข้องศึกษา ทำความเข้าใจในวิธีปฎิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย กฎกระทรวง

ในโอกาสนี้เลขาธิการกองทุนฯ จึงขอเชิญชวนพี่น้องเกษตรกรสมาชิกกองทุนฯ ได้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกรให้มากที่สุด ซึ่งจะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 12 พ.ย. 66 นี้ เพื่อแสดงพลังให้รัฐบาลและประชาชนได้รับทราบ ว่ายังมีเกษตรกรรอรับการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาอีกจำนวนมาก

สำหรับการลงติดตามตรวจเยี่ยมและรับฟังสรุปการรับสมัครรับเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกรในระดับภูมิภาคของเลขาธิการฯ มีแผนจะลงพื้นที่ ภาคเหลือ ที่ จ.เชียงใหม่ วันที่ 21 ก.ย. 66 และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วันที่ 22 ก.ย. นี้

วันที่ 14 กันยายน 2566 เวลา 14.00 น. ที่ห้องประชุมสำนักงาน ก.พ. (เดิม) ชั้น 3 กรุงเทพมหานคร สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ประชุมคณะกรรมการอำนวยการเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกร พ.ศ. 2566 ครั้งที่ 1/2566 โดยมี นายพีรพันธ์ คอทอง รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน

นายสไกร พิมพ์บึง เลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ในฐานะเลขานุการ เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้รับทราบประกาศ ทั้ง 4 ฉบับ ได้แก่ เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกร พ.ศ. 2566 เรื่องกำหนดวันเลือกตั้ง วันรับสมัครรับเลือกตั้ง สถานที่รับเลือกตั้ง เรื่องกำหนดจำนวนผู้แทนเกษตรกรที่จะพึงมีในแต่ละภูมิภาค และเรื่องกำหนดจำนวนรูปถ่ายหรือรูปภาพที่พิมพ์ชัดเจนในการรับสมัครรับเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกร โดยสำนักงานได้รายงานการเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกรในครั้งที่ผ่านมา ข้อมูลเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และคำสั่งสำนักงาน เรื่องแต่งตั้งเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกร พ.ศ. 2566 จำนวน 3 ฉบับ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับจัดการเลือกตั้ง ซึ่งได้กำหนดให้มีการเปิดรับสมัครผู้แทนเกษตรกร ในวันที่ 18-22 กันยายน 2566 ตั้งแต่เวลา 08.30 น. – 16.30 น. และเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน 2566 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. – 15.00 น.

สำหรับการประชุมในนัดแรกวันนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบแผนบริการจัดการเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกร พ.ศ. 2566 โดยมีขั้นตอนดำเนินการ 11 ขั้นตอน จำนวน 25 กิจกรรม ระยะเวลาดำเนินการ 77 วัน เห็นชอบการใช้จ่ายงบประมาณในการเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกร จำนวน 120 ล้านบาท ตามที่คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรอนุมัติไว้ โดยให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เพื่อใช้งบประมาณจัดการเลือกตั้ง จำนวน 90 ล้านบาท ให้สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง เพื่อใช้ในการจัดพิมพ์บัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 7 ล้านบาท ให้สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร จำนวน 23 ล้านบาท เพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์การเลือกตั้ง จำนวน 15 ล้านบาท และใช้ในการบริหารจัดการเลือกตั้ง จำนวน 8 ล้านบาท

นอกจากนี้เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความโปร่งใส ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 2 คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้งและปัญหาข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการเลือกตั้งเกษตรกร พ.ศ. 2566 และ คณะอนุกรรมการติดตามและตรวจเยี่ยมการเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกร พ.ศ. 2566 ใน 4 ภูมิภาค และเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย คณะกรรมการได้ขอความร่วมมือให้ทุกฝ่ายประเมินความเสี่ยงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในการจัดการเลือกตั้ง และจัดทำคู่มือสำหรับจัดการเลือกตั้งที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการ คู่มือด้านกฎหมาย เพื่อให้มีความรอบคอบในทุกมิติ เพื่อป้องกันและกำหนดแนวทางให้สามารถจัดการเลือกตั้งได้สำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และยังได้เน้นย้ำให้สำนักงานประชาสัมพันธ์ สื่อสารให้เกษตรกรกลุ่มเป้าหมาย จำนวนกว่า 5.2 ล้านคน เห็นความสำคัญของการเลือกตั้งและออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งให้มากที่สุด เพื่อคัดเลือกผู้แทนเกษตรกรที่มีคุณภาพ เข้ามาทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงสำคัญให้ภาคเกษตรได้รับการดูแลพัฒนาตรงกับความเดือดร้อนอย่างแท้จริง

วันที่ 29 ส.ค. 2566 นายสไกร พิมพ์บึง เลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ได้เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2566 ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) ได้มีการแจ้งผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ประจำปีงบประมาณ 2566 โดย ป.ป.ช.ได้จำแนกหน่วยงานของรัฐออกเป็น 8 ประเภท ได้แก่ ประเภทที่ 1 คือ หน่วยธุรการขององค์กรศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ และหน่วยงานในสังกัดรัฐสภา ประเภทที่ 2 คือ ส่วนราชการระดับกรม ประเภทที่ 3 คือ รัฐวิสาหกิจ ประเภทที่ 4 คือ องค์การมหาชน ประเภทที่ 5 คือ กองทุน และหน่วยงานของรัฐอื่น ๆ ประเภทที่ 6 คือ สถาบันอุดมศึกษา ประเภทที่ 7 คือ จังหวัด เฉพาะส่วนราชการส่วนภูมิภาค และประเภทที่ 8 คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ

ในส่วนของสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร จัดอยู่ในประเภทที่ 5 คือ กองทุน และหน่วยงานของรัฐอื่นๆ ในปีนี้ได้รับคะแนนประเมิน 91.42 คะแนน ผลการประเมินอยู่ในลำดับที่ 8 ซึ่งผลเป็นที่น่าพึงพอใจ อยู่ในระดับ A เนื่องจากคะแนนประเมินขยับเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่สำนักงานได้รับคะแนนประเมินเพียง 78.71 เท่านั้น

สำหรับในปีนี้มีข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อกองทุนฟื้นฟูฯ หลายประการ ด้านที่มีผลคะแนนโดดเด่น ได้รับคะแนนสูงสุด ควรรักษามาตรฐานไว้ ได้แก่ ตัวชี้วัดที่ 1 เรื่องการปฏิบัติหน้าที่ และตัวชี้วัดที่ 6 เรื่องคุณภาพการดำเนินงาน ส่วนประเด็นที่จะต้องมีการปรับปรุงพัฒนาคุณภาพงานมีคุณภาพสูงขึ้น ได้แก่ ตัวชี้วัดที่ 4 การใช้ทรัพย์สินของราชการ ตัวชี้วัดที่ 7 ประสิทธิภาพการสื่อสาร และเรื่องการพัฒนาปรับปรุงการดำเนินการตามแบบวัดการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ โดยสำนักงานจะนำประเด็นที่ได้รับข้อเสนอแนะทั้งหมดไปเป็นกรอบแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข นำไปสู่การพัฒนาองค์กรให้มีความโปร่งใสตามกรอบการประเมิน ITA และพัฒนาคุณธรรมการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล ให้การปฏิบัติงานและการให้บริการแก่เกษตรกรสมาชิกตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ต่อไป นายสไกรกล่าว

วันที่ 23 สิงหาคม 2566 ที่โรงแรม ดิ ไอเดิล โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์ จังหวัดปทุมธานี นายสไกร พิมพ์บึง เลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เป็นประธานเปิดการสัมมนาผู้ปฏิบัติงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร โดยมี นางวรรณี มหานีรานนท์ ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการ หัวหน้าส่วน หัวหน้าสำนักงานสาขาจังหวัด 18 จังหวัด พนักงานและลูกจ้าง เข้าร่วมกว่า 70 คน

นายสไกร พิมพ์บึง เลขาธิการสำนักงาน กฟก. เปิดเผยว่า การสัมมนาในวันนี้เป็นแนวทางสำหรับการพัฒนางานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับความคาดหวังในระบบงานของ IT ที่ใช้ในการบริหารสำนักงาน ด้านการจัดการหนี้ และด้านการฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร มีการระดมความคิดเห็นให้เกิดแนวทางที่ชัดเจน เพื่อยกระดับด้านเทคโนโลยีสารสนเทศให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ

เมื่ออบรมเสร็จสิ้นแล้วจะทำให้พนักงานทุกภาคส่วนได้มีกรอบความคิดทางดิจิทัล นำไปใช้พัฒนางานให้มีความทันสมัย เกิดประสิทธิภาพต่อการทำงาน และที่สำคัญคือยกระดับในการให้บริการเกษตรกร ซึ่งทั้งหมดนี้หากมีกระบวนการขั้นตอนที่ชัดเจนจะทำให้การปฏิบัติงานมีความโปร่งใส ให้บริการได้อย่างรวดเร็ว เกษตรกรได้รับบริการทันท่วงที

วันที่ 10 ส.ค. 66 เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร นายสมพาศ นิลพันธ์ ที่ปรึกษาสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ประธานการหารือ โดยมีผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมหารือ ได้แก่ เลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) รองเลขาธิการ ผู้บริหารสำนักจัดการหนี้ฯ ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้แทนจากธนาคารของรัฐทั้ง 4 แห่ง และผู้แทนกลุ่มเกษตรกรสหพันธ์เกษตรกรแห่งประเทศไทย (สกท.) เพื่อติดตามความคืบหน้าเรื่องโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกร กรณีลูกหนี้ 4 ธนาคารของรัฐ ซึ่งที่ประชุมได้สอบถามความชัดเจนของมติ ครม. เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2565 และ วันที่ 14 มีนาคม 2566 จากผู้แทน สลค. หลังจากนั้น ที่ประชุมได้หารือถึงแนวทางการดำเนินการต่อไปตามมติ ครม. ดังกล่าว

นายสไกร พิมพ์บึง เลขาธิการสำนักงาน กฟก. กล่าวว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 66 ที่ผ่านมา ได้มีการหารือร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปแล้ว โดยมี ที่ปรึกษาสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้แทนสำนักงาน สคล. ผู้บริหารสำนักงาน กฟก. ผู้แทนจาก กษ. และผู้แทน ธ.ก.ส. มีประเด็นในการหารือ 4 ประเด็น ได้แก่ การดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ลูกหนี้ธนาคารของรัฐ 4 แห่ง ขัดกับ พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง ของรัฐ พ.ศ. 2561 หรือไม่ การทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ การรับเงินชำระหนี้จากเกษตรกรในส่วนของร้อยละ 50 และการตั้ง งบประมาณชดเชยให้กับธนาคารเจ้าหนี้ทั้ง 4 แห่ง จะดำเนินการต่อไปอย่างไร กรณีที่เกษตรกรทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้และได้ทำการปิดบัญชีชำระหนี้ จำนวน 8 ราย ให้กับ ธ.ก.ส. สำนักงาน กฟก. สามารถตั้งงบประมาณขอเงินชดเชยได้หรือไม่ และ การชะลอการดำเนินคดีทางกฎหมายให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการตามมติคณะรัฐมนตรี ผลจากการหารือมีความชัดเจนว่าเกษตรกรสามารถทำสัญญาได้ ส่วนเงินชดเชยให้ กฟก. เสนอ ครม.ขอใช้งบประมาณในปี 2568 ตามขั้นตอน

ข้อสรุปในเบื้องต้นทางธนาคารของรัฐทั้ง 4 แห่ง โดย ธ.ออมสิน พร้อมทำสัญญาในเร็ววันนี้ ส่วน ธ.อาคารสงเคราะห์และธ. พัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศ อยู่ระหว่างเสนอบอร์ดพิจารณา คาดว่าจะแล้วเสร็จในเร็ววันนี้ ส่วน ธกส. จะนำเรื่องการทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้เสนอคณะกรรมการธนาคารเพื่อพิจารณาแนวทางในการดำเนินงานภายในวันที่ 24 ส.ค. 66 นี้ ซึ่งในส่วนของเกษตรกรที่มารอให้คำตอบจะยังคงปักหลักรอคำตอบที่ชัดเจนตามกำหนดการที่ทางธนาคารได้แจ้งในที่ประชุมต่อไป

วันที่ 6 สิงหาคม 2566 ที่ห้องประชุมสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ชั้น 5 กรุงเทพมหานคร สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ร่วมกับ สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดอบรมโครงการให้ความรู้ด้านกฎหมายแก่บุคลากรสำนักงาน กฟก. โดยมี นายสไกร พิมพ์บึง เลขาธิการสำนักงาน กฟก. ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ พร้อมด้วย ผู้บริหารจากทั้ง 2 หน่วยงาน ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของสำนักงาน หัวหน้าสำนักงานสาขาจังหวัดทั่วประเทศ เข้าร่วมอบรมกว่า 160 คน

วันที่ 2 ของการอบรม ในช่วงเช้า เป็นการบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับการดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญา โดย นายวีรศักดิ์ โชติวานิช อุปนายกฝ่ายเทคโนโลยีและสารสนเทศและรองเลขาธิการสภาทนายความ

หลังจากนั้น นายสไกร พิมพ์บึง เลขาธิการสำนักงาน กฟก. ได้กล่าวปิดการอบรมว่า “การจัดอบรมในครั้งนี้เป็นกิจกรรมต่อเนื่องที่ทั้ง 2 หน่วยงานได้ลงนามบันทึกความร่วมมือในการเผยแพร่ความรู้และช่วยเหลือทางด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของกฟก.เพื่อช่วยเกษตรกรที่ขาดความรู้ด้านกฎหมาย ถูกเอารัดเอาเปรียบด้านสัญญาที่ไม่เป็นธรรมจากเจ้าหนี้ รวมถึงการติดตามทวงหนี้ที่ไม่เป็นธรรม อย่างที่ทราบกันแล้วว่ามีสมาชิก กฟก.จำนวนมากที่ประสบปัญหาหนี้สิน และขาดความรู้ความเข้าใจด้านกฎหมาย ทำให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ จากเจ้าหนี้นำไปสู่การถูกฟ้องร้อง การไม่มีความรู้ด้านกฎหมายทำให้เกษตรกรเสียเปรียบและเป็นที่มาของการถูกยึดทรัพย์ บังคับคดี สูญเสียที่ดินอันเป็นทรัพย์สมบัติชิ้นสุดท้าย เมื่อมีที่ปรึกษาเข้ามาช่วยเหลือทั้งด้านคดีความและการยุติข้อขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ช่วยเหลือด้านอรรถคดี ทำให้เกษตรกรสมาชิกได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น

ในวันนี้สำนักงาน กฟก. ขอขอบคุณ ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ และผู้บริหารของสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ทุกท่านที่ให้ความรู้ เป็นเกียรติกับสำนักงานเป็นอย่างยิ่ง ความรู้ที่ได้จะเป็นคุณูปการอันใหญ่หลวงแก่เกษตรกรในการแบ่งเบาความทุกข์เมื่อถูกดำเนินคดี และเป็นช่องทางในการต่อสู้คดีตามกฎหมายได้”

วันที่ 18 ก.ค. 2566 ที่สำนักงาน กพ. (หลังเก่า) นายสไกร พิมพ์บึง เลขาธิการสำนักงาน กฟก. พร้อมด้วย นายสมยศ ภิราญคำ รองเลขาธิการ ผู้อำนวยการสำนักจัดการหนี้ของเกษตรกร ร่วมประชุมหารือการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ลูกหนี้ธนาคารของรัฐ 4 แห่ง ได้แก่ ธ.ก.ส. ธอส. ธ.ออมสิน และ ธพว. โดยมีตัวแทนจาก ธ.ก.ส. ผู้แทน สนง.เลขาธิการคณะรัฐมนตรี และตัวแทนฝ่ายเกษตรกร นำโดย นายยศวัจน์ ชัยวัฒนสิริกุล ประธานที่ปรึกษาสหพันธ์เกษตรกรแห่งประเทศไทย (สกท.) และทีมงาน เข้าร่วมประชุมกว่า 50 คน โดยมีนายสมพาศ นิลพันธ์ ที่ปรึกษาสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการหารือ

นายสไกร พิมพ์บึง เลขาธิการสำนักงาน กฟก. เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2566 ได้รับหนังสือจากสหพันธ์เกษตรกรแห่งประเทศไทย ขอให้ประสานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อขอเข้าพบและหารือการดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ฯ ตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 22 มี.ค. 2565 และ วันที่ 14 มี.ค. 2566 ซึ่ง ครม. ได้อนุมัติในหลักการให้ดำเนินโครงการแล้วโดย กฟก. และ ธ.ก.ส. ได้ทำสัญญาไปแล้วตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย. 2566 มีเกษตรกรได้รับสิทธิเข้าร่วมโครงการ 50,621 ราย ปัจจุบันมีเกษตรกรมารายงานตัวแล้ว 33,970 ราย ประสงค์เข้าร่วมโครงการ 24,934 ราย จัดทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้ว 191 ราย และได้ชำระหนี้ปิดบัญชีกับ ธ.ก.ส. แล้ว 8 ราย ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างรอทำสัญญา และติดตามประสานให้เกษตรกรมารายงานตัว

จากกรณีที่มีเกษตรกรจำนวน 8 รายได้ชำระหนี้ปิดบัญชีกับ ธ.ก.ส. แล้วเสร็จ จึงเป็นเหตุให้ ธ.ก.ส. ขอทราบแนวทางการขอรับงบประมาณชดเชยของเงินต้นครึ่งหลังร้อยละ 50 และดอกเบี้ยพร้อมทั้งค่าใช้จ่ายที่รัฐบาลต้องจ่ายชดเชยให้เจ้าหนี้ภายใต้กรอบวงเงินและแนวทางที่ ครม.ให้ความเห็นชอบไว้แล้ว จากนั้นเมื่อวันที่ 9 พ.ค. 66 กฟก.พร้อมด้วยธนาคารของรัฐทั้ง 4 แห่ง ได้เข้าพบผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ(สงป.) และผู้แทนสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) โดยผู้แทนสศค.ได้ให้ความเห็นว่าโครงการดังกล่าวจะก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณอาจเข้าข่าย พรบ.วินัยการเงิน การคลัง ตามมาตรา 28 ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบกรอบงบประมาณจากครม.ก่อนจึงจะเบิกจ่ายงบประมาณชดเชยได้เป็นเหตุให้ ธ.ก.ส.ชะลอการสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ เนื่องจากเกรงว่าจะไม่สามารถของบประมาณชดเชยในส่วนที่รัฐบาลต้องรับภาระจ่ายให้เจ้าหนี้ได้

ในส่วนของ กฟก. มีความเห็นว่าสามารถดำเนินการได้ตามที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) ได้มีหนังสือยืนยันว่าโครงการดังกล่าว ครม.ได้ ประกอบกับมติ ครม.เมื่อวันที่ 14 มี.ค.66 ได้อนุมัติในหลักการและให้ดำเนินการทำสัญญาได้แล้ว ส่วนงบประมาณที่ขอชดเชยให้เจ้าหนี้นั้น กองทุนฯ จะเริ่มขอใช้งบประมาณในปี 68 เป็นต้นไป ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกรอบงบประมาณปี 66-67 ตามที่ สศค.ให้ความเห็น โดยกองทุนฯ จะเสนอเรื่องเข้า ครม. เพื่อขอเงินชดเชยให้เจ้าหนี้เป็นปี ๆ ไปตามจำนวนที่เกษตรกรได้ปิดบัญชี และขณะนี้มีเกษตรกรจำนวนมากกว่า 2.5 หมื่นรายกำลังรอทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ฯ ซึ่งทุกอย่างได้เดินหน้าเตรียมความพร้อมไว้ทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงความชัดเจนจากทางสถาบันเจ้าหนี้เท่านั้น

ผลจากการหารือร่วมกัน ได้ข้อสรุปว่าเกษตรกรสามารถทำสัญญาได้ ส่วนเงินชดเชยให้ กฟก.เสนอ ครม.ขอใช้งบประมาณในปี 68 ส่วนกรณีเกษตรกร 8 รายที่ปิดบัญชีไปแล้วนั้นเป็นภาระที่ ธ.ก.ส. ต้องรับภาระไปก่อนแล้วค่อยเสนอขอชดเชยในปี 68 ต่อไป