วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม 2566 เวลา 13.30 น ที่ห้องประชุมสหกรณ์การเกษตรเกษตรวิสัย จำกัด อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด นายสไกร พิมพ์บึง เลขาธิการสำนักกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) ได้เป็นประธานมอบเช็คชำระหนี้และรับมอบโฉนดที่ดินของเกษตรกรคืนจากสหกรณ์เจ้าหนี้ในพื้นจังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีนายสำเริง ปานชาติ รองประธานกรรมการบริหาร นายประจักร์ บุญกาพิมพ์ ผู้แทนเกษตรกรในคกก.กองทุนฟื้นฟูฯ คณะผู้บริหาร พนักงาน/ลูกจ้าง อนุกรรมการฯ จังหวัดร้อยเอ็ด และเกษตรกรสมาชิกร่วมงานจำนวน 200 คน โดยมีนางบุญเกิด พานนท์ ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรเกษตรวิสัย จำกัด ให้การต้อนรับการมอบเช็คชำระหนี้ครั้งนี้ เป็นงบประมาณ(งบกลาง) ที่กฟก.ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีจำนวน 1,500 ล้านบาท ภายใต้กลุ่มเป้าหมาย 2,557 ราย ในส่วนของจังหวัดร้อยเอ็ดได้รับการอนุมัติซื้อหนี้ จำนวน 78 ราย จำนวน 79,164,480.27 บาท โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยให้เกษตรกรได้กว่า 850 ไร่ สำหรับการจัดกิจกรรมมอบเช็คชำระหนี้ให้สหกรณ์ฯ ในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดครั้งนี้ มีสหกรณ์เจ้าหนี้ที่ยินยอมให้กฟก.ชำระหนี้แทน 4 สหกรณ์ ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรปทุมรัตน์ จำกัด เกษตรกรได้รับการจัดการหนี้จำนวน 3 ราย จำนวน 3,257,758.80 บาท สหกรณ์การเกษตรปฎิรูปสุวรรณภูมิห้า จำกัด จำนวน 1 ราย จำนวน 273,744.40 บาท สหกรณ์การเกษตรโพนทอง จำกัด จำนวน 10 ราย จำนวน 13,600,899.71 บาท และสหกรณ์การเกษตรเกษตรวิสัย จำกัด 63 ราย จำนวน 58,644,077.36 บาท รวม 77 ราย 86 บัญชี จำนวน 76 ล้านบาท ภายหลังการมอบเช็คชำระหนี้เสร็จนายสไกร พิมพ์บึง เลขาธิการกองทุนฯ ได้กล่าวแสดงความยินดีกับเกษตรกรและสหกรณ์เจ้าหนี้ที่ได้ร่วมมือร่วมใจกันแก้ไขปัญหาให้เกษตรกรที่มีความเดือดร้อนต่อปัญหาหนี้สิน ภายใต้การรักษาที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยให้เกษตรกรสมาชิก ซึ่งจังหวัดร้อยเอ็ดได้รับการส่งมอบหลักประกันที่ดินในครั้งนี้กว่า 850 ไร่ “ขอบคุณสหกรณ์เจ้าหนี้ที่มองเห็นความเดือดร้อนในปัญหาหนี้สินของเกษตรกร และนำมาซึ่งการยินยอมให้กฟก.เข้ามาชำระหนี้แทนเกษตรกร ซึ่งเป็นงบประมาณ งบกลางที่รัฐบาลชุดปัจจุบันได้อนุมัติมาให้ เมื่อชำระหนี้แล้ว กฟก.จะร่วมมือกับเจ้าหนี้เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูอาชีพให้เกษตรกรต่อไป”ข้อมูลการจัดการหนี้สาขาร้อยเอ็ด- เกษตรกรสมาชิก 222,320 ราย – ขึ้นทะเบียนหนี้ 17,336 ราย – ได้รับชำระหนี้แทน 447 ราย จำนวน 215 ล้านบาท- ปิดบัญชีแล้ว 81 ราย จำนวน 12.5 ล้านบาท – รักษาที่ดินทำกินให้เกษตรกรได้ 2,953 ไร่